วันแรก 1 : กรุงเทพฯ สนามบินดอนเมือง–หาดใหญ่–มัสยิดกลางเมืองสงขลา-ย่านเมืองเก่า Songkhla Old Town– โรงสีแดง–เขาตังกวน–อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพร–แหลมสมิหลา
- คณะพร้อมกันที่ สนามบินดอนเมือง บริเวณอาคาร 2 ผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia) เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินรับบัตรโดยสาร **หมายเหตุ** เคาน์เตอร์เช็คอินจะปิดบริการก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 60 นาที และผู้โดยสารพร้อม ณ ประตูขึ้นเครื่องก่อนเวลาเครื่องออก 20 นาที
- ออกเดินทางบินลัดฟ้าสู่ หาดใหญ่ โดย สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia) เที่ยวบินที่ FD6200 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 25 นาที มีบริการอาหารว่างและน้ำดื่ม ท่านละ1ชุด
- เดินทางถึง สนามบินหาดใหญ่ ให้ท่านรับสัมภาระให้เรียบร้อย ไกด์นำเที่ยวรอท่าน ณ บริเวณจุดนัดพบ จากนั้นนำท่านออกเดินทางไปยังเมืองสงขลา โดยรถบัสปรับอากาศ
- แวะชมและถ่ายภาพ มัสยิดกลางสงขลา (บริเวณด้านนอก) หรือมีชื่อเต็มว่า “มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม” ศาสนสถานที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยสง่าโดดเด่น บริเวณด้านหน้ามีสระน้ำทอดยาวกว่า 200 เมตร แลดูคล้ายกับศาสนสถานทัชมาฮาลที่อินเดีย จากนั้นออกเดินทางต่อไปยังย่านเมืองเก่าจังหวัดสงขลา
- นำท่านเดินชม ย่านเมืองเก่าสงขลา ซึ่งมีถนนสายสำคัญ 3 สายหลักๆ คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และ ถนนนางงาม ถนนที่ประกอบไปด้วยอาคารและสถาปัตยกรรมที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ มีห้องแถวไม้แบบจีน ตึกคลาสสิคสไตล์ ชิโนโปรตุกีส และยังมีอาคารตึกแถวแบบจีนโบราณของชาวจีนฮกเกี้ยนเรียงรายทั้งสองฟากฝั่งถนน แม้อาคารหลายหลังมีการปรับปรุงทาสีใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างเดิม ตึกและอาคารย่านเมืองเก่าสงขลาถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราววิถีชีวิตและความเป็นมาของชาวสงขลา นอกจากนี้ตามอาคารบ้านเรือนบางหลังยังมีภาพสตรีทอาร์ท
- โรงสี หับ โห้ หิ้น อายุนับ 100 ปี ที่อยู่คู่มากับย่านเมืองเก่า ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันอีกด้วย
- สมควรแก่เวลาเดินทางต่อไปยัง เขาตังกวน ( รวมค่าเคเบิลคาร์ ) ขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา บริเวณยอดเขาตังกวนนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองสงขลาได้โดยรอบแบบ 360 องศา อาณาบริเวณประกอบด้วย ลานชมวิว ประภาคาร ศาลาวิหารแดง และเจดีย์พระธาตุเมืองสงขลา ตามจารึกกล่าวว่าสร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี บริเวณลานชมวิวมีรูปหล่อหลวงปู่ทวดตั้งอยู่กลางลานไว้ให้สักการะ นั่งพักผ่อนชมวิวตัวเมืองสงขลา และทะเลสาบสงขลารวมทั้งหาดสมิหลา สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางลงจากยอดเขาตังกวน
- ไปยัง อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวีไทย พระบรมรูปของท่านหันหน้าออกทะเลดูเด่นสง่า เป็นที่เคารพนับถือของคนโดยทั่วไปในภาคใต้ ก่อตั้งโดยกลุ่มไทยอาสาป้องกันชาติในทะเล จังหวัดสงขลา สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2530 เพื่อให้ชาวเรือ ได้สักการะบูชาก่อนออกไปประกอบอาชีพในทะเล เพราะมีความเชื่อว่าท่านจะช่วยเหลือให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายจากพายุและเพศภัยต่างๆ ผู้คนนิยมมาสักการะขอพรอย่างไม่ขาดสายทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว บริเวณรอบๆ อนุสาวรีย์มีปืนใหญ่ จรวด ปืนกลจำลองที่ปลดระวางมาจัดแสดงไว้กลางแจ้ง อีกทั้งยังมีพญานาคพ่นน้ำที่ทำให้ภูมิทัศน์โดยรอบนั้นสวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอบย่างยิ่ง
- สมควรแก่เวลา เดินทางต่อไปยังบริเวณชายหาด แหลมสมิหลา ชายหาดที่ทอดยาวต่อเนื่องมาจากหาดสมิหลา มีแนวต้นสนให้ความร่มรื่นยาวตลอดหาด มองออกไปจะเห็นเกาะหนู เกาะแมว หนึ่งสัญลักษณ์ที่เป็นตำนานกล่าวขานถึงที่มาที่ไป พักผ่อนกับกิจกรรมถ่ายรูปกับนางเงือก วาดภาพสีน้ำ หรือระบายสีปูนพลาสเตอร์ สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางทางกลับสู่ตัวอำเภอหาดใหญ่
“มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา” หรือชื่อเต็ม “มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม” เป็นศาสนสถานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ช่างภาพ ด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยสง่า มีสระน้ำด้านหน้าทอดตัวยาวกว่า 200 เมตร ทำให้มัสยิดแห่งนี้ดูละม้ายคล้ายคลึงกับทัชมาฮาลที่อินเดีย โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกที่นี่จะงดงามตระการตามากเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าที่นี่จะเป็นที่นิยมของเหล่าบรรดาช่างภาพทั้งหลาย มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม หรือเรียกสั้นๆว่า มัสยิดกลางสงขลา ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนลพบุรีราเมศวร์ ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดสงขลา ต้องบอกว่าที่นี่เป็นมัสยิดที่ใหญ่และอลังการมาก ภายในตกแต่งได้สวยงาม โล่งโอ่โถง เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบ และทำพีธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา มัสยิดกลางแห่งนี้โดดเด่นจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่อยู่บนภูเขาในสวนสาธารณะหาดใหญ่กันเลยทีเดียว หากใครได้มาจังหวัดสงขลาแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะมาชมความงดงามของมัสยิดกลางแห่งนี้ จนได้รับการขนานนามว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย” ยิ่งมาในช่วงเวลาเย็นค่ำมัสยิดเปิดไฟสว่างมีฉากหลังของท้องฟ้าเปลี่ยนสีในยามเย็นงดงามยิ่งนัก มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา จะมีศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามจังหวัดสงขลา โดยได้เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อปี 2534 โดยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานฯและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาในยุคก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ด้วยความตั้งใจจริงที่ว่า “อยากให้จังหวัดสงขลามีมัสยิดกลางเฉกเช่นจังหวัดอื่นๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งเพื่อเป็นที่ทำการของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาอย่างเป็นเอกเทศ” จนได้ทำเรื่องรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอให้ก่อสร้าง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ตั้งแต่แรก โดนปฎิเสธจากเบื้องบนลงมาบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คณะกรรมการย่อท้อ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มีความพยายามหาทาง และโอกาสอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสำเร็จผลได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง ปี พ.ศ.2544 เมื่อมาถึงที่นี่ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการของสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ซึ่งบอกได้เลยว่า รับรู้ถึงแรงศรัทธาของชาวมุสลิมที่มีต่อองค์พระศาสดาจริงๆ ในทุกๆส่วนของมัสยิดนั้นถูกออกแบบ และตกแต่งด้วยความประณีต ละเอียดอ่อนช้อย ทางเดินถูกปูด้วยหินอ่อนทุกตารางนิ้ว พื้นที่ภายในตัวมัสยิดก็กว้างขวาง เปิดโล่งพร้อมรับผู้มีจิตศรัทธาทุกศาสนาที่ต้องการจะเรียนรู้คำสอนของพระอัลเลาะห์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ที่สามารถยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า จะไทยพุทธ หรือไทยมุสลิมเราก็ล้วนแล้วเป็นพี่น้องกันโดยไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น เห็นแล้วน่าชื่นใจที่มีอาคารสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าสวยโดดเด่นแบบนี้อยู่ในบ้านเรา
ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงามยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ มีห้องแถวไม้แบบจีน ตึกคลาสสิคสไตล์ชิโนโปรตุกีส ศาลเจ้าพ่อกวนอู โรงแรมนางงาม โรงแรมไม้เก่าแก่ประดับลายฉลุไม้วิจิตรบรรจง ย่านเก่าที่จะพาเราย้อนรอยไปสู่ความรุ่งเรืองในอดีตของสงขลาที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศของวันวานสุดคลาสสิก และน่าค้นหา โดยครอบคลุมถนนสายสำคัญ 3 สาย ได้แก่ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ที่เคยเฟื่องฟูมากในยุคหนึ่ง และถนนเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของการนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปสู่อดีตที่น่าหลงใหล ณ มุมหนึ่งของสงขลา เดินตามรอยอดีต กล่าวกันว่า เมื่ออดีตราว 200 ปีก่อน ตัวเมืองสงขลาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเรียกว่า "เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน" จนกระทั่ง พ.ศ. 2385 จึงขยายมาทางฝั่งทิศตะวันออกบริเวณตำบลบ่อยาง เรียกกันว่า "เมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง" ซึ่งเริ่มแรกมีถนนสองสายคือถนนนครนอก อันเป็นถนนเส้นนอกที่ติดกับทะเลสาบ และถนนนครในเป็นถนนเส้นในเมือง ต่อมามีการตัดถนนสายที่สามเรียกว่าถนนเก้าห้อง หรือย่านเก้าห้อง เพื่องานสมโภชเสาหลักเมืองต่อมาก็เรียกกันว่าถนนนางงามนั่นเอง การเดินชมย่านเก่า หากค่อย ๆ ลัดเลาะไปตามถนนทั้ง 3 สายนี้ คุณจะพบความคลาสสิกจากห้องแถวไม้แบบจีน ตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีส ศาลเจ้าพ่อกวนอู โรงแรมนางงาม อันเป็นโรงแรมไม้เก่าแก่ประดับลายฉลุไม้วิจิตรบรรจง รวมทั้งยังมีตึกแถวแบบจีนโบราณของชาวจีนฮกเกี้ยนปะปนอยู่ด้วยกันทั้งสองฟากถนน อาคารหลายหลังมีการปรับปรุงทาสีใหม่แต่ก็ยังคงมีเอกลักษณ์น่าสนใจดุจเดิม ชิมของอร่อยย่านเก่า อีกกิจกรรมหนึ่งที่มาเติมเต็มอารมณ์ชมย่านเก่าเมืองสงขลาได้อิ่มเอมขึ้น ก็คือการได้อิ่มท้องจากขนมอร่อยมากมาย ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่มีให้เลือกชมและชิมอย่างเอร็ดอร่อย รวมทั้งของฝากพื้นเมืองให้เลือกซื้อกันอีกด้วย โดยเฉพาะถนนนางงาม หรือถนนเก้าห้องนั้น ละลานตาไปด้วยอาหารคาวหวานท้องถิ่นอันเลื่องชื่อ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของถนนสายนี้ไปเสียแล้ว ซึ่งมีทั้งร้านขนมไทย ร้านไอศกรีม ร้านกาแฟโบราณ ร้านซาลาเปา และต้องไม่พลาดโจ๊กเกาะลอย ข้าวสตูร้านเกียดฟั่ง (โกยาว) สตูแบบจีนที่กินคู่กับซาลาเปาร้อน ๆ หรือจะลองก๋วยเตี๋ยวหางหมู ก๋วยเตี๋ยวเป็ด และไส้กรอกสูตรเวียดนาม รวมทั้งขนมสำปันนี ขี้มอด ทองเอก ข้าวฟ่างกวน ขนมเทียนสด ซึ่งเป็นขนมโบราณที่หากินยากในสมัยนี้ แต่คุณจะพบความอร่อยเหล่านั้นบนถนนสายนี้
- โรงสีแดง (หับ โห้ หิ้น)
- พิพิธภัณฑสถานทางโบราณคดี, เมืองสงขลา สงขลา ไทย
ก่อตั้งโดยขุนราชกิจจารี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ในปี พ.ศ. 2457 ต่อมาอีก 14 ปี หลานของท่านคือ คุณสุชาติ รัตนปราการ ได้ซื้อกิจการต่อทั้งหมด และพัฒนาโรงสีข้าวโดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์พลังไอน้ำ ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ชื่อโรงสี “หับ โห้หิ้น” เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึง สามัคคี กลมเกลียวและเจริญรุ่งเรือง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยึดครองสงขลา และใช้โรงสีแดงเป็นคลังเก็บเวชภัณฑ์ หลังสงครามได้เลิกกิจการโรงสีข้าว เปลี่ยนเป็นโกดังเก็บยางพาราเพื่อส่งออก และท่าเทียบเรือประมง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคม
บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์พระธาตุคู่เมืองสงขลา ซึ่งสร้างในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัยทวารวดี ในเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีพิธีห่มผ้าองค์เจดีย์ ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว ภูเขาลูกเล็ก ๆ แต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองฯ โดยเขาตังกวนนั้นเป็นเนินเขาสูงจากระดับทะเลปานกลางประมาณ 2,000 ฟุต จากยอดเขาตังกวนนี้มีลานชมวิวเขาตังกวนที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองสงขลาได้โดยรอบ กลายเป็นจุดชมวิวยอดนิยมที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อเดินทางมาเยือนสงขลา นอกจากนี้ บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์พระธาตุคู่เมืองสงขลา ซึ่งสร้างในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัยทวารวดี โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานเงินหลวง ให้เป็นทุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์ และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุในองค์พระเจดีย์ และในเดือนตุลาคมของทุกปี จะมีงานพิธีห่มผ้าองค์พระเจดีย์ และประเพณีตักบาตรเทโว และลากพระของสงขลา สู่ยอดเขาตังกวน ปัจจุบัน ทำได้ 2 วิธี คือ ขึ้นลิฟต์โดยสารจากจุดบริการลิฟต์โดยสาย ณ บริเวนถนนตัดระหว่างเขาตังกวนและเขาน้อย ค่าบริการ ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท เด็ก 20 บาท โดยเปิดบริการในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-19.00 น. และในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 8.00-19.00 น. ขึ้นโดยการเดินขึ้นบันไดฝั่งตรงตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามลิฟต์โดยสาร ตลอดระยะทางมีบันไดหิน สลับกับจุดพักและจุดชมวิวเป็นช่วง ๆ ที่ตั้ง : อำเภอเมืองฯ จังหวัดสงขลา เขาตังกวนตั้งอยู่ในตัวเมืองสงขลาใกล้กับหาดสมิหลา สามารถนั่งรถโดยสารแดง หรือรถตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ ที่ให้บริการอยู่ในตัวเมือง
- อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
- อนุสรณ์สถาน, เมืองชุมพร ชุมพร ไทย
สวนสองทะเล เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสงขลา พื้นที่ตรงนี้เป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และที่ตั้งของศาลกรมหลวงชุมพร ภายในศาลแห่งนี้มีพระราชประวัติ พระบรมฉายาลักษณ์ และเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย สำหรับพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภากร" เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย" พระองค์ทรงเป็นผู้วางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ทรงได้รับการเชิดชูในหมู่ทหารเรือเรียกขานพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" หรือ "หมอพร" และ "พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย" ต่อมาในปี 2536 มีประกาศกองทัพเรือขนานพระนามพระองค์ว่า "พระบิดาของกองทัพเรือไทย" พระองค์ทรงการศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ระยะแรกทรงศึกษาวิชาการขั้นต้นเช่นเดียวกันกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ แต่ต่อมาได้ทรงแยกไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ด้วยพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่า กิจการทหารเรือของไทยในสมัยนั้นยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ต้องอาศัยชาวต่างประเทศมาเป็นครูและควบคุม พระองค์ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ อยู่ในประเทศอังกฤษ เป็นเวลานานถึง 6 ปี จึงทรงสอบไล่ได้ตามหลักสูตรสูงสุดของโรงเรียนนายเรืออังกฤษ แล้วเสด็จกลับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2443 ถึงเมืองไทย ในปี พ.ศ. 2449 ขณะทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือในสมัยนี้เอง ที่พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไข และวางหลักสูตรในโรงเรียนนายเรือขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ มีความรู้ความสามารถทัดเทียมกับผู้ที่สำเร็จจากโรงเรียนนายเรือในต่างประเทศ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2466 ไปสู่ตำบลปากน้ำชุมพร และประทับอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ก็ทรงประชวรด้วยไข้หวัดใหญ่ และเพียง 3 วันเท่านั้น ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 รวมพระชนมายุเพียง 44 พรรษา ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ได้มีการจัดสร้างศาลและอนุเสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รวมทั้งสิ้น 217 แห่งทั่วประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลชุมพร อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร หรือที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมถึงที่สวนสองทะเล หาดสมิหลา สงขลาแห่งนี้ด้วย แม้พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จะสิ้นพระชนม์ไปนานแค่ไหนก็ตาม ประชาชนชาวไทยยังคงเคารพในพระมหากรุณาธิคุณ ชาวสงขลาและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสงขลาแทบทุกคนไม่มีใครพลาดการมาสักการะอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรแห่งนี้
แหลมสมิหลา อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสงขลา ห่างจากตลาดทรัพย์สิน (ตลาดสดเทศบาล) ประมาณ 2.5 กิโลเมตร หาดทรายขาวและทิวสนอันร่มรื่นยาวเหยียด มองเห็นทิวทัศน์ได้ไปจนสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่แหลมสนอ่อน และทิศใต้มองเห็นได้ไกลถึงหาดชลาทัศน์ ในวันที่อากาศดีสามารถมองเห็นเขาเก้าเส้งอยู่ลิบๆ ณ แหลมสมิหลา ซึ่งมีนางเงือกอันเป็นเสมือนสัญลักษณ์อันโดดเด่นอย่างหนึ่งของสงขลา นอกจากนั้นแล้วบริเวณริมหาดยังมีกิจกรรมสันทนาการทางน้ำไว้บริการด้วย ถ้ามาถึงสงขลาแล้วไม่ได้เยือนหาดสมิหลาย่อมถือว่ามาไม่ถึง เพราะที่นี่คือไอคอนของเมืองสงขลาที่ทุกคนต้องมาแวะถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก หาดสมิหลาเป็นชายหาดที่มีโขดหินขนาดย่อมยื่นลงทะเล ทรายขาวละเอียดมากที่เรียกว่า "ทรายแก้ว" ร่มรื่นด้วยป่าสน และจากหาดสมิหลายังสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเกาะหนูเกาะแมว จนมีคำกล่าวว่าใครมาเยือนสงขลาแล้วไม่มาเยือนสมิหลาก็เหมือนมาไม่ถึงสงขลา อีกทั้งบริเวณหาดยังมีสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียง นั่นก็คือ รูปปั้นนางเงือกทอง ที่ทุกคนต้องแวะมาถ่ายภาพเก็บไว้ บรรยากาศโดยรอบของชายหาดเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกมากมาย รวมทั้งมีกิจกรรมทางน้ำเติมความสนุกให้นักท่องเที่ยว เช่น ขี่ม้า และชายหาดแห่งนี้ยังสามารถลงเล่นน้ำทะเลได้เนื่องจากเป็นชายหาดที่ไม่ลาดชัน และมียามรักษาการณ์จากเทศบาลเมืองสงขลาคอยดูแลความปลอดภัยตลอดทั้งวัน
- บริการอาหารค่ำ
- ที่พัก Red Planet Hotel หรือ เทียบเท่าระดับ 3 ดาว
วันที่สอง 2 : หาดใหญ่–ปัตตานี–ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว–บ้านขุนพิทักษ์รายา-ยะลา–จุดชมวิวสะพานข้ามเขื่อนบางลาง–สตรีทอาร์ต–วงเวียนหอนาฬิกาเบตง–ตู้ไปรษณีย์โบราณ–อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
- บริการอาหารเช้า
- จากนั้นนำท่านออกเดินจาก อำเภอหาดใหญ่ ไปยังจังหวัดปัตตานี โดยรถตู้ปรับอากาศ *หากต้องการเลือกที่นั่งบนรถมีค่าบริการเพิ่มเติม* (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง โดยประมาณ)
- จากนั้นนำท่านชม ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เชื่อกันว่าผู้มาขอพรให้โชคลาภจะได้ผล หรือแม้แต่การค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้นจนทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก ชาวปัตตานีจึงได้นำต้นไม้ที่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายมาแกะสลักเป็นรูปบูชาและรสร้างศาลเจ้าขึ้นสักการะ สำหรับองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาโชคลาภ ค้าขาย ซึ่งเป็นที่นิยมมากราบไหว้ของพรเพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิต
- จากนั้นนำท่านชม บ้านขุนพิทักษ์รายา สร้างขึ้นมาประมาณปี พ.ศ. 2460 อายุกว่า 100 ปี บ้านขุนพิทักษ์รายาเป็นเรือนแถว 2 ชั้น 2 คูหา 2 ช่วงเสา รูปแบบของตึกแถวมีการประยุกต์ระหว่างสถาปัตยกรรมในท้องถิ่นและสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและเป็นภาพสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของย่านนี้ อีกทั้งยังมีการบันทึกกล่าวถึงตำแหน่งของบ้านขุนพิทักษ์รายาในสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาส
- ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
- สถานที่ทางศาสนา, เมืองปัตตานี ปัตตานี ไทย
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง เป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของ จ.ปัตตานีมาตั้งแต่โบราณ ตั้งอยู่ที่ถนนอาเนาะรู อำเภอเมือง ปัตตานี เดิมศาลเจ้านี้มีชื่อเรียกว่า "ศาลเจ้าซูก๋ง" ตามหลักฐานที่จารึกอยู่ในศาลเจ้า ตั้งขึ้นในปีปีพุทธศักราช 2117 ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา แม้ศาลเจ้านี้จะตั้งมาเก่าแก่นับได้หลายศตวรรษ แต่ด้วยบุญญาภินิหารของเจ้าแม่หลิมกอเหนี่ยว ศาลเจ้านี้จึงมีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่ศรัทธาของสาธุชนเสมอมามิได้ขาด
- บ้านขุนพิทักษ์รายา
- พิพิธภัณฑสถานทางประวัติศาสตร์, เมืองปัตตานี ปัตตานี ไทย
ประวัติและความสำคัญ บ้านขุนพิทักษ์รายาตั้งอยู่ในย่านหัวตลาดหรือย่านตลาดจีน ถนนปัตตานีภิรมย์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและเป็นภาพสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของย่านนี้ พื้นที่ชุมชนหัวตลาด เป็นพื้นที่ย่านการค้าและพักอาศัยของชุมชนชาวจีนกลุ่มแรกๆที่เข้ามายังปัตตานี มีถนนปัตตานีภิรมย์ตัดเลียบขนานกับแม่น้ำปัตตานี ถัดมาเป็นถนนอุดมวิถีและถนนนาเกลือ มีถนนที่ตัดตั้งฉากและเชื่อมถนนสามเส้นนี้คือ ถนนอาเนาะรู ถนนมายอ ถนนฤาดี ถนนปรีดาและถนนพิพิธ ซึ่งทั้งสองชุมชน พบบ้านเรือนและร้านค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณถนนอาเนาะรูซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ต่อมายังถนนปัตตานีภิรมย์ซึ่งวิ่งขนานกับแม่ปัตตานี ในอดีตแม่น้ำปัตตานีเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ใช้ในการคมนาคม อีกทั้งแม่น้ำปัตตานียังไหลเข้ามาในสู่แผ่นดิน แตกแขนงเป็นแม่น้ำลำคลองสายย่อยๆ หนึ่งในนั้นคือ คลองอาเนาะซูงา ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนอาเนาะซูงา มีสมาชิกในชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม บ้านขุนพิทักษ์รายาเป็นเรือนแถว 2 ชั้น 2 คูหา 2 ช่วงเสา รูปแบบของตึกแถวมีการประยุกต์ระหว่างสถาปัตยกรรมในท้องถิ่นและสถาปัตยกรรมจีน มีอายุประมาณ 90-120 ปี ชั้นหนึ่งของอาคารมีโครงสร้างเป็นผนังรับน้ำหนักโดยใช้อิฐก่อและฉาบด้วยปูน โดยผนังฝั่งที่ติดข้างบ้านเป็นการใช้ผนังร่วมกัน ซึ่งเป็นบ้านที่เป็นพี่น้องกัน โดยผนังฝั่งนี้ยังพบร่องรอยของระดับหลังคาเดิมของบ้านก่อนที่จะมีการปรับปรุงมาเป็นรูปแบบที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ชั้นสองของอาคารเป็นโครงสร้างเสาคาน เสาไม้เชื่อมต่อลงมาถึงชั้นหนึ่งของบ้าน หลังคาส่วนหน้าอาคารเป็นทรงจั่ว ส่วนหลังของอาคารเป็นทรงปั้นหยา มีพาลัยหลังคาทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองของอาคาร โดยหลังคาทั้งหมดมุงด้วยกระเบื้องดินเผามุงหลังคาแบบปลายแหลม ลักษณะการเจาะช่องเปิด ชั้นล่างฝั่งหน้าบ้านเป็นประตูบานเฟี้ยม 10พับ ลายสายฝนด้านบนมีช่องลมเพื่อระบายอากาศ ชั้นล่างฝั่งด้านข้างบ้านมีประตูบานเปิดแบบจีนขนาบข้างด้วยหน้าต่าง ทางฝั่งหลังบ้านมีประตูแบบจีนจำนวน 2 บาน ชั้นบนทั้งหมดของอาคารมีลักษณะเป็นผนังไม้ตีแนวนอนแบบเข้าลิ้นไม้ และมีหน้าต่างลูกฟักแบ่งสามช่วงเปิดยาวถึงพื้น โดยลูกฟักกลางเป็นบานเกล็ดเปิดกระทุ้ง ด้านหน้าอาคารมีหน้าต่างยาวจำนวน 2 บาน และเหนือกรอบหน้าต่างเป็นช่องแสงกรุกระจก ส่วนฝั่งด้านข้างบ้านเป็นผนังไม้และมีหน้าต่างลูกฟักเช่นเดียวกับด้านหน้าบ้านจำนวน 5 บานและฝั่งด้านหลังบ้านอีก 2 บาน เหนือกรอบบานมีช่องลมตลอดแนว
- บริการอาหารกลางวัน
- สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางต่อไปยัง อำเภอเบตง
- ระหว่างทางนำท่านจอดแวะถ่ายรูปบริเวณ สะพานข้ามเขื่อนบางลาง บริเวณบ้านคอกช้าง อ.ธารโต สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อล่นระยะทางในการเดินทาง จากเดิมที่จะต้องไปตามไหล่เขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 410 ยะลา–เบตง เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยม
- แวะพักถ่ายรูปและยืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินทางต่อ อำเภอเบตง ตั้งอยู่ใต้สุดฝั่งตะวันตกของประเทศไทย มีเขตแดนติดกับประเทศมาเลเซีย โอบล้อมด้วยแนวเทือกเขาสันการาคีรี ภูมิประเทศของอำเภอเบตง ด้วยภูมิประเทศแบบนี้จึงทำให้เบตงมีอากาศที่ดี อากาศเย็น และมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี ดังคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” คำว่า เบตง มาจากภาษามลายู "Buluh Betong" หมายถึง "ไม้ไผ่ขนาดใหญ่" หรือที่คนในพื้นที่จะรียกไผ่ชนิดนี้ว่า ไผ่ตง ดังนั้นต้นไผ่ตงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอำเภอเบตง
- จากนั้นนำท่านแวะจุดเช็คอินสุดฮิต ให้ท่านอิสระถ่ายรูป ป้ายโอเคเบตง
- จากนั้นนำคณะเดินชมจุดเด่นที่ได้รับความนิยมของตัวเมืองเบตงได้แก่ สตรีทอาร์ท หรือ ถนนศิลปะ งานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวและวิถีชีวิตของความเป็นเบตงได้อย่างดี จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ผลงานที่งดงามดังกล่าว เกิดจากทาง อ.เบตง จ.ยะลา ได้มีการจัดงาน 111 ปี เล่าขานตำนานเมืองเบตง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างหมุดหมายที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของชาวเบตงและ สร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
- เมืองเบตงมาช้านาน คือ ตู้ไปรษณีย์โบราณ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2482 สูง 2.9 เมตร โดยผู้ที่ดำริแนวคิดคือ นายสงวน จิรจินดา อดีตนายไปรษณีย์โทรเลขเบตง ที่ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเบตง คนแรก ในปัจจุบันนี้ตู้ไปรษณีย์แห่งนี้ยังเปิดใช้งานได้ และนักท่องเที่ยวมักจะซื้อโปสการ์ด เขียนและส่งจดหมายถึงญาติคนรัก หรือส่งถึงตัวเอง เก็บไว้เป็นความทรงจำ
- จากนั้นนำท่านชม อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เจาะผ่านภูเขาเพื่อเชื่อมต่อส่วนขยายของเมืองไปอีกฟากของตัวเมือง อุโมงค์แห่งนี้ยังเป็นอุโมงค์ที่ผู้คนสามารถใช้สัญจรไปมาด้วยรถยนต์แห่งแรกของประเทศไทย ภายในอุโมงค์ตกแต่งประดับประดาด้วยไฟหลากสี เปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2544
- บริการอาหารค่ำ เมนูพิเศษ...กบภูเขาทอด
- ที่พัก Holiday Hill Hotel หรือระดับเทียบเท่า 3 ดาว
วันที่สาม 3 : วัดพุทธาธิวาส-วัดกวนอิม-ป้ายใต้สุดสยาม-สนามบินเบตง-ร้านของฝากเมืองเบตง-ร้านวุ้นดำ ต้นตำรับ (เฉาก๊วย ก.ม. 4)–สวนหมื่นบุปผา-อุโมงค์ปิยะมิตร-บ่อน้ำพุร้อน-ศาลาประชาคมเบตง
- คณะพบกัน ณ บริเวณล้อบบี้โรงแรม จากนั้นไป รับประทานอาหารเช้า แบบ ติ่มซำ ร้านใกล้เคียงโรงแรม ติ่มซำชื่อดังของเบตง ทานคู่กับน้ำชากาแฟยามเช้า
- จากนั้นเดินทางไปยัง วัดพุทธาธิวาส วัดคู่เมืองเบตง เดิมชื่อวัดเบตง ก่อตั้งเมื่อ เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2460 สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พื้นที่ตั้งวัดเป็นเนินเขาสูงเอียงลาดลงไปทางทิศเหนือ จัดแบ่งพื้นที่วัดออกเป็นชั้นทั้งหมด 5 ชั้น ตั้งเด่นสง่าอยู่บนเนินเขามีพระธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศตั้งโดดเด่นมองเห็นศิลปกรรมแบบศรีวิชัยประยุกต์โดยในองค์มหาธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล
- จากนั้นนำท่านสู่ วัดโพธิสัตโตเจ้าแม่กวนอิมเบตง หรือวัดกวนอิมตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของสวนสุดสยาม วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพสำคัญๆหลายองค์ อาทิ เจ้าแม่กวนอิม ท่านแป๊ะกง ท่านกวงกง เจ้าแม่จิวหวังเหย่ ยี่หวังต้าตี้ หวาโถ่วเซียนซื่อ ขงจื้อ เป็นต้น มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและมาเลเซียเลื่อมใสศรัทธาเดินทางมาสักการะขอพรเป็นจำนวนมาก ส่วนมากจะขอพพรด้านการมีบุตรและโชคลาภ
- จากนั้นนำท่านออกเดินทางไปยังบริเวณพรมแดน ไทย – มาเล ฯ จุดผ่านแดนถาวรที่เชื่อมระหว่างสองประเทศ ถ่ายรูปกับ ป้ายใต้สุดสยาม ถือเป็นจุดเช็คอินไฮไลท์อีกหนึ่งจุดว่าท่านได้มาเยือนถึงแนวเขตแดนใต้สุดของประเทศไทย
- จากนั้นนำท่านแวะชมและถ่ายรูปด้านนอกอาคาร สนามบินเบตง ชมสถาปัตยกรรมที่ตกแต่งด้วยไม้ไผ่ สะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งคำว่า "เบตง" หรือ “บือตง” เป็นภาษาถิ่นมลายู แปลว่า "ไม้ไผ่" กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของอำเภอเบตง
- จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง ร้านของฝากของที่ระลึกเบตง ให้ท่านได้เลือกซื้อของฝากจากท้องถิ่น เช่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มแม่บ้าน สินค้า OTOP ,รังนก, ยาจีน, หมี่เหลืองเบตง, ซีอิ้วเบตง, ส้มโชกุน, เสื้อยืดสกรีน OK BETONG เป็นต้น
- จากนั้นนำท่านสู่ ร้านวุ้นดำ กม.4 ต้นตำหรับอร่อยระดับตำนาน พิเศษ…เสิร์ฟเฉาก๊วยท่านละ 1 ถ้วย เฉาก๊วยใช้วิธีทำแบบดั้งเดิม ต้มเคี่ยวหญ้าเฉาก๊วยด้วยเตาฟืน ซึ่งจะทำให้มีกลิ่นหอมและมากไปด้วยสรรพคุณทางยา ให้ท่านได้อิสระซื้อเป็นของฝาก
- บริการอาหารกลางวัน พิเศษ...เมนูจิ้มจุ่มปลานิลสายน้ำไหลชื่อดังของเบตง
- นำท่านชม สวนหมื่นบุปผา หรือ สวนดอกไม้เมืองหนาว ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 2 สวนดอกไม้นี้อยู่ท่ามกลางภูเขา สูงจากระดับทะเลปานกลางราว 800 เมตร มีอากาศเย็นสบายตลอดปี เหมาะสมกับการปลูกไม้ดอกเมืองหนาวนานาชนิด สวนนี้เกิดขึ้นจากโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้พระราชทานนามสวนแห่งนี้ว่า ว่านฮัวหยวน หรือ แปลเป็นไทยว่า สวนหมื่นบุปผา โดยมีการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสร้างอาชีพให้กับกลุ่มผู้พัฒนาชาติไทยในอดีต ในชุมชนและหมู่บ้านบริเวณนี้ อดีตล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิก พคม. ที่ประกาศตัววางอาวุธ ในปี 2532 เป็นผู้พัฒนาชาติไทย และเลือกที่จะพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยต่อไป
- จากนั้นนำท่านชม อุโมงค์ปิยะมิตร ตั้งอยู่บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ที่ในอดีตเป็นฐานเคลื่อนไหวทางการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) ว่ากันว่าฐานที่มั่นแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นในแนวหลังของสงครามระหว่าง พคม กับ รัฐบาลมาเลเซีย ที่แข็งแกร่งที่สุด เคยถูกทิ้งระเบิดถึง 2 ครั้ง เป็นอุโมงค์ที่ขุดลึกลงไปในชั้นดิน จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกถึง 6 เมตร ใช้กำลังคน 60 – 80 คน อุโมงค์มีความกว้าง 50 – 60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร และมีทางเข้าออกถึง 9 ทาง เชื่อมต่อถึงกันหมด กระจายอยู่รอบ ๆ ภูเขา ภายในอุโมงค์นั้น สามารถจุคนได้มากถึง 400 คน ภายในอุโมงค์มีโรงพยาบาลสนาม ห้องส่งสัญญาณวิทยุระยะไกล ห้องปฏิบัติงานวางแผน ในส่วนของพื้นผิวด้านบนของอุโมงค์มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมหนาทึบ ยากต่อการที่ฝ่ายตรงข้ามจะตรวจหาเจอ
- สมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางกลับ
- แวะพักผ่อนที่ บ่อน้ำพุร้อนเบตง บ่อน้ำพุร้อนเป็นบ่อน้ำแร่ร้อนตามธรรมชาติขนาดใหญ่ประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย โดยอุณหภูมิของบริเวณจุดตาน้ำนั้นอยู่ที่ 60 – 80 องศาเซลเซียส และนักท่องเที่ยวมักจะทำกิจกรรมครอบครัว คือ นำไข่ไก่ ไข่นกกระทา มาลวก โดยใช้เวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้น ไข่ก็สุกพร้อมรับประทาน บริเวณโดยรอบมีการสร้างสระน้ำขนาดใหญ่สำหรับกักน้ำจากน้ำพุร้อนเพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้อาบหรือแช่เท้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี แต่ละโซนของพื้นที่ออกแบบได้อย่างมาตรฐาน ถูกสุขลักษณะและสระธาราบำบัด
- นำท่านเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองเบตง
- จากนั้นนำท่านแวะชมและถ่ายรูปด้านนอก ศาลาประชาคม ชมหอนาฬิกาโบราณและตู้ไปรษณีย์ยักษ์ที่ได้จำลองแบบมาจากของเดิมที่อยู่ในตัวเมืองเบตง
- บริการอาหารค่ำ เมนูพิเศษ ไก่เบตง, เคาหยก และ ผักน้ำผัดน้ำมันหอย
- ที่พัก Holiday Hill Hotel หรือระดับเทียบเท่า 3 ดาว
วันที่สี่ 4 : ขึ้นสกายวอล์คชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง–สะพานแขวนแตปูซู-ล่องเรือทะเลสาบฮาลาบาลา-เกาะทวด–วัดช้างให้-หาดใหญ่-ตลาดกิมหยง-สนามบินหาดใหญ่-ดอนเมือง,กรุงเทพฯ
- นำท่านออกเดินทางไปชม ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ตั้งอยู่ใน ตำบลอัยเยอร์เวง ห่างจากตัวเมืองเบตง 30 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,038 ฟุต จุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ขึ้นชื่อในเรื่องของการชมพระอาทิตย์ขึ้น ควบคู่ไปกับการชมทะเลหมอกอันสวยงาม จุดเด่น คือ ไม่ว่าคุณจะมาฤดูไหน หรือช่วงเวลาไหน ท่านก็มีโอกาสที่จะได้เห็นวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าที่เป็นทะเลหมอกตลอดทั้งปี ทะเลหมอกที่ก่อตัวจากผืนป่า ฮาลา–บาลา ทะเลสาบเขื่อนบางลาง รวมถึงสามารถมองไปไกลได้ถึงประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว
- นำท่านขึ้นจุดชมวิว Skywalk ชมวิวทิวทัศน์แบบรอบทิศทางแบบ 360 องศา ( การเที่ยวชมทะเลหมอก อาจมีการสลับสับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นสำคัญ )
- บริการอาหารเช้า
- สมควรแก่เวลานำคณะเดินทางต่อไปยัง สะพานแขวนแตปูซู แวะถ่ายรูปกับสะพานไม้ สะพานแขวนแห่งนี้ใช้งานมาหลายสิบปี วัตถุประสงค์หลักที่สร้างขึ้นนั้น ในอดีตชาวบ้านใช้ขนถ่ายสินค้าทางการเกษตร เช่น ผลไม้ ยางพารา และใช้สัญจรของชาวสวนในพื้นที่ ตัวสะพานมีความกว้าง 1.8 เมตร ยาว 100 เมตร
- จากนั้นนำท่านสู่ ท่าเรือตาพะเยา นำท่านล่องเรือชมบรรยากาศทะเลสาบฮาลาบาลา และชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมทะเลสาบ
- นำท่านแวะชม เกาะทวด เกาะทวด ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาบฮาลาบาลา หรือ กลางเขื่อนบางลาง จ.ยะลา โดยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนใหญ่ จะเดินทางเพื่อมากราบไหว้ ขอพรจากทวดบูเกี๊ยะ และได้โชคลาภจากการขอพร หลายต่อหลายครั้งติดต่อกัน จนนักท่องเที่ยวบางราย ได้สนับสนุน บริจาคทรัพย์ เงินทอง ในการบูรณะจัดสร้างศาลทวดบูเกี๊ยะ ให้มีสภาพที่ดีขึ้น จนกลายเป็นกระแสบอกต่อกัน และทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหล เดินทางเข้ามาเที่ยวชมและขอพรกันแทบทุกวัน
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ หาดใหญ่ พักผ่อนบนรถ (ระยะทาง 259 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 4.30 ชั่วโมง โดยประมาณ )
- จากนั้นนำท่านชม วัดช้างให้ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ สังกัดคณะสงฆ์ มหานิกาย เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิฐาน ปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จะใช้บริเวณนั้นสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้มคำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า วัดช้างไห้ แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดและอัฐิของท่านก็ถูกบรรจุไว้ที่วัดแห่งนี้ อิสระให้ท่านไหว้พระขอพร หรือเช่าบูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ทวดตามอัธยาศัย
- บริการอาหารกลางวัน
- จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยังอำเภอหาดใหญ่ จากนั้นนำท่าน อิสระช้อปปิ้งที่ ตลาดกิมหยง ให้ท่านได้เลือกซื้อของฝากอาทิเช่น อาหารแห้ง กาแฟ ขนมขบเคี้ยว ถั่วต่างๆ เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าส่วนใหญ่เป็นสินค้าปลอดภาษีจากประเทศเพื่อนบ้านวางขายอยู่ทั่วไป จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ท่าอากาศยานหาดใหญ่
- ออกเดินทางกลับสู่ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ โดย สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia) เที่ยวบินที่ FD6201 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 35 นาที มีบริการอาหารว่างและน้ำดื่ม ท่านละ1ชุด
- เดินทางถึง สนามบินดอนเมือง โดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยความประทับใจ
เงื่อนไขในการสำรองที่นั่งและจ่ายเงิน
- ค่ามัดจำท่านละ 4,000 THB
เงื่อนไขการยกเลิกการสำรองที่นั่ง
- แจ้งยกเลิกก่อนเดินทางระหว่าง (>= AND <=) 1 ถึง 30 วัน บริษัทยินดีคืนค่าบริการทั้งหมด
- แจ้งยกเลิกก่อนเดินทางน้อยกว่า (<) 30 วัน บริษัทยินดีคืนค่าบริการ 50 %
- แจ้งยกเลิกก่อนเดินทางน้อยกว่า (<) 15 วัน บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเก็บค่าบริการทั้งหมด
ในกรณีจองทัวร์ตรงวันหยุดเทศกาล, วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทางบริษัท ฯ ขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
เงื่อนไขและข้อมูลควรทราบเพิ่มเติม
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ เท่านั้น อีกทั้งข้อสรุปและข้อตัดสินใด ๆ ของบริษัทฯ ให้ถือเป็นข้อยุติสิ้นสุดสมบูรณ์ หากท่านได้ชำระเงินค่าบริการมาแล้ว ถือว่าท่านได้ยอมรับและรับทราบเงื่อนไขการให้บริการข้ออื่นๆที่ได้ระบุมาทั้งหมดนี้แล้ว
บริษัทฯและตัวแทนของบริษัทขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายการทัวร์,เที่ยวบิน,สายการบินและที่นั่งบนรถนำเที่ยวตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ข้อจำกัดด้านภูมิอากาศ, จำนวนที่นั่งของชั้นประหยัดพิเศษของสายการบิน และเวลา ณ วันที่เดินทางจริง ทั้งนี้ทางบริษัทฯ จะยึดถือและคำนึงถึงความปลอดภัย รวมถึงประโยชน์สูงสุดของลูกค้าส่วนมากเป็นสำคัญ
ในระหว่างการท่องเที่ยวนี้ หากท่านไม่ใช้บริการใดๆไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ถือว่าท่านสละสิทธิ์ไม่สามารถเรียกร้องขอคืนค่าบริการได้
ค่าบริการที่ท่านชำระกับทางบริษัทฯ เป็นการชำระแบบเหมาขาด และทางบริษัทฯ ได้ชำระให้กับบริษัทฯ ตัวแทนแต่ละแห่งแบบเหมาขาดเช่นกัน ดังนั้นหากท่านมีเหตุอันใดที่ทำให้ท่านไม่ได้ท่องเที่ยวพร้อมคณะตามรายการที่ระบุไว้ ท่านจะขอคืนค่าบริการไม่ได้
กรณีเกิดความผิดพลาดจากตัวแทน หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนมีการยกเลิก ล่าช้า เปลี่ยนแปลง การบริการจากสายการบิน บริษัทขนส่ง หรือ หน่วยงานที่ให้บริการ บริษัทฯ จะดำเนินโดยสุดความสามารถที่จะจัดบริการทัวร์อื่นทดแทนให้ แต่จะไม่คืนเงินให้สำหรับค่าบริการนั้น ๆ
เดินทางต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวและรับผิดชอบต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวท่านเอง บริษัทฯ จะไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากเกิดความไม่พึงพอใจในสินค้าที่ผู้เดินทางได้ซื้อระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวนี้
ผู้เดินทางต้องรับผิดชอบต่อการจัดเก็บ และ ดูแลทรัพย์สินส่วนตัว ของมีค่าต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง บริษัทฯ จะไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากเกิดการสูญหายของ ทรัพย์สินส่วนตัว ของมีค่าต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว อันมีสาเหตุมาจากผู้เดินทาง
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบค่าเสียหายในเหตุการณ์ที่เกิดจากการยกเลิกหรือความล่าช้าของสายการบิน ภัยธรรมชาติ การนัดหยุดงาน การจลาจล การปฏิวัติ รัฐประหาร ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของทางบริษัทฯ หรือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นทางตรง หรือทางอ้อม เช่น การเจ็บป่วย การถูกทำร้าย การสูญหาย ความล่าช้า หรือ จากอุบัติเหตุต่าง ๆ
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบใด ๆ ต่อการไม่เป็นไปตามความคาดหวัง และความไม่พึงพอใจของผู้เดินทาง ที่เกี่ยวข้องกับ สภาพธรรมชาติ ภูมิอากาศ ฤดูกาล ทัศนียภาพ วัฒนธรรม วิถีและพฤติกรรมของประชาชนในประเทศที่เดินทางไป
ทางบริษัทฯจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น หากผู้เดินทางประสบเหตุสภาวะฉุกเฉินจากโรคประจำตัว ซึ่งไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุในรายการท่องเที่ยว (ซึ่งลูกค้าจะต้องยอมรับในเงื่อนไขนี้ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ซึ่งอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของบริษัททัวร์)
โปรแกรมทัวร์นี้จะสามารถออกเดินทางได้ต้องมีจำนวนผู้เดินทางขั้นต่ำ 36 ท่านรวมในคณะตามที่กำหนดไว้เท่านั้น หากมีจำนวนผู้เดินทางรวมแล้วน้อยกว่าที่กำหนดไว้ บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนกำหนดการเดินทาง
อัตราค่าบริการนี้รวม
ค่าบัตรโดยสารชั้นประหยัดพิเศษเดินทางไปกลับตามเส้นทางและวันที่ระบุในรายการ
ค่าน้ำหนักสำภาระถือขึ้นเครื่อง 7 กิโลกรัมต่อท่าน ต่อเที่ยวบิน
ค่ารถนำเที่ยวตามรายการที่ระบุ
ค่าที่พักระดับ 3 ดาว ตามรายการ 3 คืน พักห้องละ 2-3 ท่าน (กรณีมาไม่ครบคู่และไม่ต้องการเพิ่มเงินพักห้องเดี่ยว)
ค่าอาหารตามที่ระบุในรายการ (ทางบริษัทสงวนสิทธิในการสลับมื้อหรือเปลี่ยนแปลงเมนูอาหารตามสถานการณ์)
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามที่ระบุในรายการ
ค่าประกันชีวิตกรณีอุบัติเหตุในระหว่างการเดินทาง คุ้มครองในวงเงินไม่เกินท่านละ 1,000,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลกรณีอุบัติเหตุในวงเงินไม่เกิน ท่านละ 500,000 บาท (ตามเงื่อนไขกรมธรรม์)
ค่ามัคคุเทศก์ผู้ชำนาญเส้นทาง
ค่าน้ำหนักสัมภาระโหลดใต้เครื่องท่านละ 20 กิโลกรัม
อัตราค่าบริการนี้ไม่รวม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนอกเหนือจากรายการที่ระบุ เช่น ค่าเครื่องดื่มและค่าอาหารที่สั่งเพิ่มเอง, ค่าอาหารและเครื่องดื่มสั่งพิเศษนอกรายการ ค่าซักรีด, ฯลฯ
ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากความล่าช้าของสายการบิน,อุบัติภัยทางธรรมชาติ, การประท้วง, การจลาจล, การนัดหยุดงาน, การถูกปฏิเสธไม่ให้ออกและเข้าเมืองจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่กรมแรงงานทั้งที่เมืองไทยและต่างประเทศซึ่งอยู่นอกเหนือความควบคุมของบริษัทฯ
ค่าอาหารบนเครื่องบิน, ค่าเลือกที่นั่งบนเครื่องบิน, ค่าเลือกที่นั่งบนรถนำเที่ยว
ค่าทิปไกด์ท้องถิ่นและคนขับรถ 400 บาท /ทริป/ท่าน
ค่าบริการโหลดกระเป๋าส่วนเกินจาก 20 กก.ตามที่สายการบินระบุ